7 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเกย์และไบที่มีปัญหาเกี่ยวกับการทานอาหาร
This post is also available in: English Русский Українська
สมาคมปัญหาทางการทานอาหารแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NEDA) ได้เผยว่ากลุ่มชายที่เข้ารับการดูแลทางการแพทย์จากภาวะผิดปกติในการรับประทานอาหารเช่นโรคกลัวความอ้วนหรือโรคเบื่ออาหารได้เพิ่มขึ้นถึง 70% จากปี 2010 ถึงปี 2016 และแม้ว่ามันจะฟังดูน่ากลัว ซึ่งเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่ก็หมายความว่ามีคนที่ตามหาความช่วยเหลือมากขึ้น
ราว 15% ของกลุ่มเกย์และไบผู้ชายเคยประสบปัญหาในการรับประทานอาหารมาก่อน และ 42% ของผู้ชายที่ประสบปัญหาดังกล่าวระบุว่าตนเองเป็นเกย์หรือไบเซ็กชวล ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องทำความเข้าใจและหาทางออกให้กับปัญหานี้
สัปดาห์นี้ วันที่ 21 ถึง 27 กุมภาพันธ์เป็นสัปดาห์แห่งการตระหนักเรื่องพฤติกรรมการกินผิดปกติแห่งชาติ 2022 เราเลยอยากใช้ช่วงเวลานี้พูดคุยถึงเรื่องนี้กันให้มากขึ้น
1. พันธุกรรมและสภาพแวดล้อมมีผลต่อการเป็นโรคของเกย์และไบเซ็กชวล
จากข้อมูลของ NEDA พบว่าชายที่เป็นเกย์มีโอกาสในการเป็นโรครับประทานอาหารไม่หยุดเป็น 7 เท่า และมีโอกาสในการเป็นโรคบูลีเมียถึง 12 เท่าของชายทั่วไป
Tyler Wooten ผู้อำนวยการสถาบันช่วยเหลือด้านการรับประทานอาหารในดัลลัสกล่าวว่าพันธุกรรมและความกลัวกลุ่มเพศทางเลือกมีผลส่งเสริมเสริมให้ตัวเลขดังกล่าวสูงขึ้น:
บ่อยครั้งที่เราจะได้ยินว่าพันธุกรรมเป็นเหมือนกระสุนปืน และสภาพแวดล้อมเหมือนตัวเหนี่ยวไก และเราพบว่ามีกลุ่มคนบางกลุ่มที่จะมีความอ่อนแอต่อความกดดันทางสังคมมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ซึ่งทำให้อารมณ์ของคนกลุ่มนี้นั้นมีความอ่อนไหว มีความต้องการที่จะเพอร์เฟ็กต์ เอาใจคนอื่น และมีความต้องการที่จะทำให้คนอื่นมีความสุข และสาเหตุหลักที่ทำให้กลุ่มเพศทางเลือกมีความอ่อนแอต่อสภาวะดังกล่าวก็คือการต้องการเป็นที่ชื่นชอบและยอมรับในสังคม
Brian Pollack นักบำบัดและผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาในการรับประทานอาหารจากนิวเจอร์ซีชี้ว่าปัจจัยที่ส่งเสริมปัญหาดังกล่าวคือความหลงไหลในความสวยความงามและการเข้าสังคม:
ชายที่เป็นเกย์มีความพึงพอใจในด้านร่างกายต่ำกว่าชายทั่วไป และงานวิจัยยังพบอีกว่าพวกเขาเชื่อว่าสื่อหลายด้านเป็นแรงกดดันให้พวกเขานั้นต้องดูดี และยังมีปัญหาชื่อเรียกต่างๆที่เป็นชื่อเฉพาะที่แสดงถึงด้านลบในวิธีการพูด การกระทำ และภาพลักษณ์ของพวกเขา ในบางคนนั้น การพยายามเข้ากับสังคมหลังจากที่ไม่ประสบความสำเร็จในการเข้ากันในครอบครัวมักจะสร้างแรงกดดันและความยุ่งยากให้กับพวกเขา
บทความที่เกี่ยวข้อง | วิธีสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างหุ่นดีให้ตัวเองโดยใช้ความคิดด้านบวก
กลุ่มเกย์ยังมักจะพูดติดตลกถึงการไม่ทานอาหารทานเล่นหรือคาร์โบไฮเดรทในงานเลี้ยงต่างๆ และจะพูดถึงตัวเองหรือคนอื่นว่า”ไอ้อ้วน”ถ้าหากทานของหวานหรืออาหารจุบจิบ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ล้วนสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษและสร้างความสัมพันธ์ด้านลบต่ออาหาร น้ำหนัก และภาพลักษณ์ของตัวเอง
2. ปัญหาด้านการทานอาหารนั้นมีสาเหตุได้จากหลายอย่าง
แม้ว่าพันธุกรรมและสภาพจิตใจจะมีผลต่อการก่อให้เกิดภาวะดังกล่าว แต่บางครั้งโรคเกี่ยวกับการรับประทานอาหารอาจเกิดขึ้นจากความพยายามที่จะลดน้ำหนักหรือการก้าวข้ามปัญหาจากการถูกข่มขืนในอดีต ซึ่งการควบคุมสิ่งที่นำเข้าไปในร่างกายสามารถให้ความรู้สึกถึงพลังในการควบคุม และการลดน้ำหนักสามารถให้ความรู้สึกเหมือนได้เปลี่ยนเป็นคนใหม่ได้
อย่างไรก็ตาม ปัญหาด้านการทานอาหารมักจะมีแรงเสริมจากความไม่พึงพอใจในร่างกาย และมีความสัมพันธ์ด้านลบกับภาพลักษณ์ของตัวเอง การมีความหวังที่จะผอมอย่างเกินไป หรือความหลงไหลในการอดอาหาร หรือกระทั่งการขาดแรงสนับสนุนจากเพื่อนหรือครอบครัว
แม้ว่าโรคบูลีเมียหรือภาวะเบื่ออาการจะเป็นภาวะที่พบได้บ่อยที่สุดในกลุ่มโรคเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร ยังมีอาการออร์ธอแร็กเซีย หรืออาการหลงไหลกับความสะอาด อาหารที่ดี สุขภาพ และการออกกำลังอย่างเกินพอดี ซึ่งเป็นอาการที่พบเห็นได้ในกลุ่มที่หลงไหลในสุขภาพ
3. การสนับสนุนให้เกิดอาการโดยไม่ได้เจตนา
เพื่อน เพื่อนร่วมงาน หรือสมาชิกในครอบครัวที่หวังดีบางครั้งมีส่วนช่วยในการก่อให้เกิดปัญหาด้านการรับประทานอาหารจากการให้คำชมเกี่ยวกับภาพลักษณ์และการลดน้ำหนักอย่างเช่น “ดูดีจังเลย” หรือ “ทำดีแล้ว ทำต่อไปนะ”
ซึ่งคำชมเหล่านี้มีส่วนช่วยเติมเชื้อให้กับความเชื่อในสังคมที่ต่อต้านความอ้วนและทำให้เกิดความเชื่อที่ว่าร่างกายที่มีไขมันเป็นร่างกายที่อ่อนแอ
ชายบางคนพบกลุ่มที่ส่งเสริมการอดอาหารบนโลกออนไลน์ที่จะเห็นผู้ใช้โพสท์ข้อความที่ให้แรงบันดาลใจในการ”สร้างความผอม”ด้วยการอดอาหารเป็นหลัก
4. ความเชื่อที่ว่าปัญหาด้านการรับประทานอาหารเป็น”ปัญหาของผู้หญิง”ทำให้ผู้ชายรู้สึกอับอาย
เนื่องจากคนส่วนใหญ่จะเชื่อมโยงอาการในการรับประทานอาหารกับเพศหญิง พวกเขาอาจจะคิดว่าสิ่งที่ผู้ชายเป็นนั้นอาจจะเกิดจากการออกกำลังกาย การควบคุมอาหาร หรือสภาวะทางจิตมากกว่าที่จะมีภาวะที่ผิดปกติในการรับประทานอาหาร
ซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่ความเชื่อที่ว่าปัญหาดังกล่าวเป็น”ปัญหาของผู้หญิง”นั้นทำให้เกิดความอับอายยิ่งขึ้นต่อผู้ชายที่ประสบปัญหาดังกล่าว ทำให้พวกเขานั้นพยายามปิดบังไม่ให้คนอื่นรู้มากกว่าจะต้องถูกมองว่าพวกเขานั้นอ่อนแอ
5. มีการใช้หลากหลายวิธีในการปิดบังสภาวะดังกล่าว
พวกเขามักจะบอกว่าพวกเขาได้ทานอาหารมาก่อนแล้ว โกหกเรื่องปริมาณในการทานอาหาร อ้างว่าเป็นโรคอื่นๆ อาจจะมีการคายอาหารใส่ในผ้าเช็ดมือหรือห้องน้ำ มีการจัดตารางเวลาเพื่อให้งานต่างๆทับกับเวลาในการทานอาหาร หรือแม้กระทั่งทิ้งอาหารเพื่อให้ดูเหมือนว่าพวกเขานั้นรับประทานหมดแล้ว
ตัวบ่งชี้ว่าพวกเขาอาจจะประสบปัญหาดังกล่าวคือพวกเขาจะมีความกังวลและมีความต้องการเป็นส่วนตัว(โดยเฉพาะในเวลาอาหาร)มากกว่าปกติถ้าหากพวกเขาเคยชื่นชอบการเข้าสังคม และพวกเขามักจะมีความคลั่งไคล้ในรายละเอียดเกี่ยวกับอาหาร เช่นอาหารที่คุณกำลังรับประทาน ประมาณแคลอรี่และไขมัน และเลี่ยงอาหารบางประเภทหรือเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหารอย่างเห็นได้ชัด (ทำอาหารของตัวเองอย่างแตกต่างไปจากอาหารปกติ)
คนที่ประสบปัญหาดังกล่าวยังจะมีอาหารเหนื่อยมากกว่าคนทั่วไป มีอาหารนอนไม่หลับ ไม่มีสมาธิ และประสบปัญหาอารมณ์แปรปรวนและเป็นโรคบ่อยๆ คุณอาจจะช่วยเหลือเบื้องต้นด้วยการถามถึงสุขภาพของพวกเขาและถามว่าพวกเขานั้นดูแลตัวเองดีอยู่หรือไม่ คุณอาจจะพูดถึงความเกี่ยวข้องของอาการกับโรคเกี่ยวกับการรับประทานอาหารโดยไม่ต้องพาดพิงถึงพวกเขาก็ได้
6. ความเครียดสามารถทำให้เกิดสภาวะนี้ซ้ำได้
ความผิดปกติในการรับประทานอาหารนั้นมีแรงขับเคลื่อนหลักจากความต้องการที่จะมีความสามารถในการควมคุม และการควบคุมร่างกายนั้นสามารถทำให้คุณรู้สึกเช่นนั้นโดยเฉพาะเมื่อเหตุการณ์รอบข้างนั้นเหมือนจะไม่เป็นใจไปซะทุกเรื่อง ฉะนั้นกลุ่มคนที่เคยประสบปัญหาดังกล่าวอาจจะมีโอกาสในการกลับไปเป็นซ้ำเมื่อประสบกับความเครียด แต่อาจจะไม่ใช่กับทุกคน
7. การพูดถึงสภาวะผิดปกติทำให้พวกเขามองหาทางออก
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีคนที่มีชื่อเสียงหลายคน อย่างเช่นนักร้องแร๊พ Eminem นักสเก็ตบอร์ดมืออาชีพ Bam Margera นักแสดงอย่าง Dennis Quaid หรือ Robert Pattinson และนักร้องไบเซ็กชวลอย่าง Aaron Carter ก็ได้พูดถึงการประสบภาวะดังกล่าว ซึ่ง NEDA ชี้ว่าการพูดถึงปัญหาดังกล่าวอย่างเปิดเผยจะมีผลช่วยให้คนที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกันพยายามมองหาทางออกและหาความช่วยเหลือที่พวกเขาต้องการ
ถ้าหากว่าเพื่อนของคุณพูดคุยกับคุณถึงสภาวะดังกล่าว NEDA เสนอว่าให้คุณชื่นชมเขาในด้านที่ไม่เกี่ยวกับภาพลักษณ์ภายนอกของพวกเขา เช่นการชื่นชมบุคลิก นิสัย และความสำเร็จของพวกเขา
NEDA ยังเสนอว่าคุณไม่ควรจะมีกฏหรือคำสัญญาใดๆที่คุณไม่สามารถรักษาไว้ได้ เช่นหลีกเลี่ยงการพูดว่า”ฉันสัญญาว่าจะไม่บอกใครทั้งนั้น” หรือ “ถ้าคุณทำอย่างนี้อีก ฉันจะไม่คุยกับคุณอีกต่อไป”
ถ้าหากว่าคุณรู้จักใครที่กำลังประสบปัญหาทางการรับประทานอาหารอยู่ตอนนี้ กรุณาติดต่อกระทรวงสาธารณสุข (02)590-1669
ภาพของ Peter Dazeley จาก Getty Images